ซึ่งเล่าเรื่องผ่าน 4 บทสำคัญ โดยบทที่หนึ่ง “Manic Highs” แทนความคลั่งไคล้และการหลีกหนีในช่วงแรก บทที่สอง “Realization” แสดงถึงความเจ็บปวดจากการตื่นรู้และการตั้งคำถาม บทที่สาม “Losing Control” ถ่ายทอดถึงการสูญเสียการควบคุมอารมณ์และการใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง และสุดท้ายในบทที่สี่ “Acceptance” นำไปสู่การเยียวยาและการยอมรับตัวเอง นับว่าเป็นครั้งแรกที่แจ็คสันรู้สึกว่าสามารถสร้างผลงานเพื่อตัวเองได้จริง ๆ ดังนั้นเนื้อเพลงและทำนองล้วนมาจากความรู้สึกส่วนลึกในใจ ไม่ได้มุ่งเน้นที่ความเป็นเพลงฮิตเพื่อการตลาด แต่เป็นการถ่ายทอดตัวตน ความรู้สึกและความเชื่ออย่างแท้จริง
โดยเพลง “Made Me a Man” นั้น มีเนื้อหาตรงไปตรงมา โปรดักชั่นเรียบง่ายแต่กินใจ สะท้อนเรื่องราวอารมณ์ของอัลบั้ม MAGICMAN 2 และถือเป็นบทสุดท้ายของยุค MAGICMAN ซึ่งตัว MV ถ่ายทอดการเดินทางภายในจิตใจของแจ็คสัน ตั้งแต่ความสับสนโดดเดี่ยว จนถึงความสงบและความชัดเจนในตัวเอง
“แจ็คสัน” เผยว่า “ผมสร้าง MAGICMAN ขึ้นมาเพื่อปกปิดอารมณ์ที่มืดมนที่สุด หลังจากถอยห่างจากสปอตไลต์ ผมก็แตะก้นบึ้งของชีวิตทั้งทางจิตใจและร่างกาย การเขียนเพลงคือทางออกเดียวของผม มันคือพื้นที่เดียวที่ผมได้ทบทวนและค้นหาว่าผมคือใครและต้องการอะไร เป็นครั้งแรกที่ผมเอาบันทึกส่วนตัวมาแปลงเป็นดนตรี อัลบั้มนี้คือการยอมรับทั้งด้านมืดและด้านสว่างในตัวเอง นี่คือ MAGICMAN 2”
ตลอดการเปิดตัว MAGICMAN 2 แจ็คสันยังตอกย้ำความเป็นศิลปินระดับโลกผ่านผลงานที่น่าจับตามอง เริ่มจากซิงเกิลแรกของอัลบั้มอย่าง “High Alone” ที่เปิดตัวเป็นอันดับ 1 บน Apple Music ในกว่า 22 ประเทศและภูมิภาค ต่อด้วยเพลง “GBAD” ที่กลายเป็นไวรัลด้วยยอดวิวทะลุ 32 ล้านครั้งบน YouTube พร้อมจุดกระแสรีมิกซ์ไปทั่วโลก ถัดมาเพลง “BUCK” ที่ได้ร่วมงานกับ “ดิลจิต โดซานจ์’ (Diljit Dosanjh)” ศิลปินและนักแต่งเพลงชื่อดังจากอินเดีย ก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม ด้านกระแสเพลง “Hate to Love” ก็แสดงให้เห็นถึงการยอมรับในฐานะซูเปอร์สตาร์ของเขาได้อย่างเด่นชัด
สำหรับแฟน ๆ ที่อยากจับจองอัลบั้ม MAGICMAN 2 พร้อมสินค้าลิมิเต็ดอิดิชั่น สามารถติดต่อรายละเอียดได้ที่ :Jackson-Wang.com และสำหรับเวอร์ชั่นพรีเมียมที่จัดจำหน่ายในประเทศเกาหลีใต้จะเปิดให้พรีออเดอร์ในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้